ไบต์เป็นตัวอักษร – วิธีแปลง B เป็น char
ไบต์และตัวอักษรอยู่รอบตัวเรา — ตั้งแต่การจัดเก็บข้อความในเอกสารจนถึงการส่งผ่านบนอินเทอร์เน็ต ดูเผิน ๆ อาจเหมือนว่า 1 ไบต์เท่ากับ 1 ตัวอักษรเสมอ แต่แท้จริงแล้วมีรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่า มาดูความสัมพันธ์และวิธีแปลงไบต์เป็นตัวอักษรอย่างถูกต้องกัน

ไบต์ (B) คืออะไร?
ไบต์คือหน่วยของข้อมูลดิจิทัลที่ประกอบด้วย 8 บิต เป็นหน่วยพื้นฐานสำหรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในเกือบทุกระบบ เมื่อคุณบันทึกไฟล์ ส่งข้อความ หรือโหลดเว็บไซต์ ข้อมูลถูกวัด ส่ง และตีความในหน่วยไบต์
ในบริบทของข้อความ ไบต์มักแทนตัวอักษร 1 ตัว แต่ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับการเข้ารหัสตัวอักษร ซึ่งจะอธิบายต่อไป
ตัวอักษร (char) คืออะไร?
ตัวอักษรหมายถึงสัญลักษณ์หรือตัวอักษรเดี่ยวที่คุณพิมพ์หรือแสดงได้ เช่น a, 9, #, 中, ♥ เป็นต้น ในระบบดิจิทัล ตัวอักษรถูกจัดเก็บเป็นไบต์หนึ่งตัวหรือมากกว่านั้นโดยใช้ระบบเข้ารหัสตัวอักษร ระบบนี้เชื่อมโยงไบต์ให้เป็นสัญลักษณ์ที่อ่านได้
มาตรฐานการเข้ารหัสที่พบบ่อยมีดังนี้:
-
ASCII – ใช้ 1 ไบต์ต่อตัวอักษร ครอบคลุมตัวอักษรภาษาอังกฤษพื้นฐาน ตัวเลข และสัญลักษณ์
-
UTF-8 – ความยาวตัวแปร ใช้ 1 ถึง 4 ไบต์ต่อตัวอักษร ขึ้นอยู่กับสัญลักษณ์
-
UTF-16 – ส่วนใหญ่ใช้ 2 ไบต์ แต่ตัวอักษรบางตัวใช้ 4 ไบต์
-
ISO 8859-1 – 1 ไบต์ต่อตัวอักษรสำหรับภาษายุโรปตะวันตก
วิธีแปลงไบต์เป็นตัวอักษร
การแปลงขึ้นอยู่กับระบบเข้ารหัสที่ใช้ ใน ASCII พื้นฐาน (หรือการเข้ารหัสที่ใช้ไบต์เดียว):
1 ไบต์ = 1 ตัวอักษร
ดังนั้นสูตรจึงเป็น:
ตัวอักษร = ไบต์ × 1 (สำหรับ ASCII และกลุ่มที่คล้ายกัน)
สำหรับการเข้ารหัสหลายไบต์เช่น UTF-8:
ตัวอักษร = ไบต์ ÷ ค่าเฉลี่ยไบต์ต่อตัวอักษร
ค่านี้แตกต่างกันไป แต่สำหรับการใช้ทั่วไปใน UTF-8 ค่าเฉลี่ยประมาณ 1.1 ถึง 1.5 ไบต์ต่อตัวอักษร ขึ้นกับภาษาและสัญลักษณ์
✅ ตัวอย่าง: แปลง 50 ไบต์เป็นตัวอักษร (ใช้ ASCII)
ตัวอักษร = 50 × 1
ตัวอักษร = 50
ในระบบที่ใช้ 1 ไบต์ต่อตัวอักษร 50 ไบต์จึงเท่ากับ 50 ตัวอักษร
✅ ตัวอย่าง: แปลง 120 ไบต์เป็นตัวอักษร (ใช้ UTF-8 ค่าเฉลี่ย 1.5 ไบต์/ตัวอักษร)
ตัวอักษร = 120 ÷ 1.5
ตัวอักษร = 80
ดังนั้น 120 ไบต์ใน UTF-8 อาจแทนตัวอักษรได้ประมาณ 80 ตัว ขึ้นกับเนื้อหา
ต้องการแปลงอย่างแม่นยำกว่านี้? ลองใช้เครื่องมือแปลงข้อมูลจัดเก็บ หรือสำรวจเครื่องมืออื่น ๆ ในโฟลเดอร์เครื่องมือแปลงของเรา
คุณรู้หรือไม่?
-
มาตรฐาน ASCII แรกเริ่มถูกสร้างขึ้นในทศวรรษ 1960 มีตัวอักษรทั้งหมด 128 ตัว ใช้ไบต์ละ 1 ตัวอักษร
-
UTF-8 ที่เปิดตัวในปี 1990 เป็นระบบเข้ารหัสที่ใช้แพร่หลายบนเว็บ เพราะรองรับตัวอักษรในทุกภาษา รวมถึงอีโมจิ
-
ตัวอักษรจีนใน UTF-8 มักใช้ไบต์ 3 ตัว แปลว่า 1,000 ไบต์เก็บข้อความภาษาจีนได้ประมาณ 333 ตัวอักษร
-
อีโมจิเช่น 😊 หรือ 🚀 มักใช้ไบต์ 4 ตัวใน UTF-8 ซึ่งแสดงว่าขนาดไบต์ของตัวอักษรไม่ได้เท่ากันทั้งหมด
-
ในยุคแรกของคอมพิวเตอร์ การประหยัดหน่วยความจำเป็นเรื่องสำคัญ จึงมีการใช้รหัสตัวอักษรแบบ 6 บิต หรือ 5 บิต (รหัส Baudot) เพื่อใส่ข้อความมากขึ้นในพื้นที่จำกัด
เบื้องหลังตัวเลข – ความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและไบต์
ในปี 1981 IBM เปิดตัวพีซีรุ่นแรกที่ใช้การเข้ารหัส ASCII เพื่อแสดงและจัดเก็บตัวอักษร ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์แต่ละตัวใช้ไบต์ละ 1 ตัว ตั้งมาตรฐานนี้นานหลายทศวรรษ คุณพิมพ์ประโยค คอมพิวเตอร์จัดเก็บทีละไบต์ ทีละตัวอักษร
แต่เมื่อคอมพิวเตอร์ขยายไปทั่วโลก ความจำเป็นในการรองรับตัวอักษรหลากหลายภาษาก็ตามมา จึงมี Unicode โดยเฉพาะ UTF-8 ซึ่งยังใช้ 1 ไบต์สำหรับตัวอักษรภาษาอังกฤษทั่วไป แต่สัญลักษณ์ซับซ้อนหรือภาษาต่างประเทศอาจใช้ 2, 3 หรือ 4 ไบต์ ระบบนี้ช่วยให้นักพัฒนารองรับทุกภาษา สัญลักษณ์ และอีโมจิ โดยไม่เสียพื้นที่
ทุกวันนี้ ไม่ว่าคุณจะเขียนทวีตหรือเก็บงานเขียน ไบต์กับตัวอักษรก็ยังทำงานร่วมกัน ความสัมพันธ์นี้ส่งผลต่อขนาดไฟล์และการแสดงผลตัวอักษร

1 ไบต์ บางครั้ง = 1 ตัวอักษร หรือมากกว่านั้น
การแปลงระหว่างไบต์กับตัวอักษรไม่ได้เป็น 1 ต่อ 1 เสมอไป ขึ้นกับระบบเข้ารหัส ภาษา และประเภทสัญลักษณ์
ใช้ฐาน:
ตัวอักษร = ไบต์ × 1 (สำหรับ ASCII)
หรือ
ตัวอักษร = ไบต์ ÷ อัตราไบต์ต่อตัวอักษรเฉลี่ย (สำหรับ UTF-8 และอื่น ๆ)
เพื่อให้การแปลงหน่วยดิจิทัลของคุณง่ายขึ้น ลองใช้เครื่องมือแปลงข้อมูลจัดเก็บ หรือสำรวจเครื่องมือแปลงในโฟลเดอร์เครื่องมือแปลงเพื่อให้ทำงานได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพ